The more you talk, the less they listen.

Chairit Wongsatitphat
1 min readDec 16, 2019

ยิ่งเยอะ ยิ่งไม่ได้ยิน

สวัสดีครับ 😄

เคยไหมครับ ?

ทำไม.. เราถึงโน้มน้าวใจใครไม่ค่อยสำเร็จเลยนะ

ทำไม.. โฆษณาตัวนี้ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเลยนะ 🤔

ถ้าใครเคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้

ห้ามพลาดบทความนี้เลยน้าาา

วันนี้มาสรุปรีวิวบทความที่ผมชอบมากอีกอันนะ

บทความนี้ผมได้ไปฟังในใน TED TALK

กับหลักการที่เค้าใช้ขึ้นชื่อว่า 3–1–3 Method

พูดโดย Rylan Folan

( อยากรู้ประวัติไรอันไป search เอานะครับ 😄 )

รู้กันไหมว่าทุกวันนี้คนเราเนี้ย

ส่วนมากจะพยายามสื่อสาร

ด้วยการพูด > มากกว่าการฟัง

ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าเราไปเดินเลือก laptop สักอันในห้างคุณจะชอบไหม ถ้ามี พนักงานขาย ที่พุ่งเข้ามาแล้วพ่นสรรพคุณ ต่างๆ ของสินค้า (ที่เค้าคิดว่าดี) โดยที่เค้าไม่ได้รู้ว่า..

ว่าเราต้องการอะไร?

ปัญหาของเราคืออะไร?

นั้นแสดงให้เห็นว่า พนักงานขายคนนั้น ไม่ได้สนใจ

ในปัญหาและความต้องการของเรา จริงๆ

เค้าแค่อยากจะพูดในสิ่งที่เค้าอยากจะพูดเท่านั้น

ถ้าเรา อยากจะให้การ สื่อสาร การโน้มน้าว

ของเรา มีประสิทธิภาพขึ้น

ขอให้จำหลักการ 3–1–3 นี้กันไว้นะครับ

1. ปัญหาของลูกค้าคืออะไร? (What)

- ลูกค้า ทุกคนล้วนมีปัญหาก่อนอยู่แล้ว

ก่อนที่จะไปหาสินค้าหรือบริการอะไร

เช่น John ชาวไร่ จะหา laptop ใหม่สักเครื่อง แต่ติดปัญหา เรื่อง งบประมาณ ที่จำกัด และต้องการผ่อน 0% และยังต้องการใช้งานด้านตัดต่อที่ลื่นไหล พอเรารู้และนี่คือปัญหาของลูกค้า เราก็จะรู้แล้วนี้คือสิ่งที่เค้าต้องการ

ก็จะเชื่อมกับข้อถัดไปได้เลย

2. เราจะแก้ปัญหาให้เค้ายังไง? (How)

- วิธีการแก้ปัญหา? แก้ยังไง? ในโจทย์ที่ John ให้มา งบประมาณ ผ่อน 0% เน้นตัดต่อ บลาๆ

3. ตรงกลุ่มเป้าหมายไหม? (Who)

  • ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากในทุกการสื่อสารอะไรก็ตาม ยกตัวอย่างง่ายๆ เราคงไม่สามารถขายเสื้อกล้าม หรือ เครื่องปรับอากาศให้กับชาว เอสกิโม ได้ใช่ไหมครับ ?

ผมเชื่อว่าก่อนที่เราจะเข้าไปคุยโน้มน้าวใจ หรือก่อนจะผลิตสื่อโฆษณาอะไรก็ตาม ถ้าเรายึด จำสามข้อนี้ ไว้ผมว่าบริบทในการสื่อสารของคุณต้องมีประสิทธิภาพดีขึ้นแน่นอนครับ

What? How? Who?

ภาพใหญ่ๆ เริ่มจาก 3 ข้อนี้ก่อนนะครับ 😁

--

--